เปิดบริการทุกวัน Open Daily 7.00 -19.00

เปิดบริการทุกวัน Open Daily 7.00 -19.00

๒๕ กันยายน ๒๕๕๑

ก่อนจะลับ..เลือนหาย...ไป


24 กันยายน 2551

วันนี้ โมโม่ สมาชิกในครอบครัวของเราได้จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันหวนคืนอีกแล้ว


วันพุทธที่ 24 กันยายน ตอนเย็น พ่อ พาโมโม่ ใส่หลังรถจักรยานไปออกกำลังกายตามปกติ


หลังจาก โมโม่ วิ่งเหนื่อยแล้ว พ่อก็อุ้มโม่ ใส่ตะกร้าหลังรถ เดินทางกลับบ้านเพื่อไปกินข้าวเย็นด้วยกัน


ระหว่างทาง มีหมาอัลเชียเชี่ยนวิ่งเข้ามาหา และกระโดดกัดโมโม่ พร้อมคาบลงไปฟัดต่อกลางถนน


แรงกระโจนของหมาทำให้จักรยานล้มลง เมื่อพ่อตั้งสติได้ ก็ขับรถพุ่งชนหมาอัลเชียเชี่ยนที่กำลังกัดโมโม่


เมื่ออัลเชียเชี่ยนวิ่งหนีไป พ่ออุ้มโม่โม่ใส่หลังรถ มุ่งไปที่คลีนิคหมอโอ เลือดโมโม่ไหลเป็นทางจากทะเลสาบหนองเล็งทรายสู่ตัวเมืองแม่ใจ


ที่คลีนิค พ่อพบว่าหมอไม่อยู่ จึงตัดสินใจเข้ามาที่บ้าน เท่าที่พ่อเช็คอาการดูเหมือนโม่จะใกล้ตายแล้ว


พ่อ ตัดสินใจโทรหาแม่ บอกว่าโม่ โดนหมากัดตายแล้ว แต่ ตอนนั้นก็ดูเหมือนจะมีปฎิกิริยาตอบสนองบางอย่างจากโมโม่


แม่จึงบอกให้เอาโมโม่ใส่รถยนต์ วิ่งมาหาหมอในตัวเมืองจังหวัดพะเยา ขณะเดียวกันต้าร์โทรบอกหมอนก หมอประจำตัวโมโม่


ให้เตรียมห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยโมโม่ เมื่อรถมาถึง ต้าร์ก็กระโดดขึ้นรถ มองดูโมโม่ที่อยู่เบาะหลัง


จับตัว จับขา ร้องเรียก โมโม่ ตาของโมโม่ยังใสอยู่ ร่างกายทางซีกขวาและท้องชุ่มไปด้วยเลือด


เมื่อสังเกตุดูเหงือก พบว่าสีซีดไปมาก ในใจตอนนั้นแม้เริ่มไม่หวังอะไรแล้ว แต่เมื่อถึงคลีนิคก็อุ้มโมโม่


วิ่งลงไปหาหมอ สิ่งแรกที่หมอทำคือใช้เครื่องตรวจชีพจรดูสัญญาณชีพ และเพียงเท่านั้น หมอก็บอกเราว่าไม่ทันแล้ว


หมอบอกว่าโมโม่เสียเลือดมากเกินไป อีกทั้งแผลที่โดนกัดก็เป็นตำแหน่งเดียวกันกับปอด


เมื่อขอบคุณหมอเสร็จ อุ้มโมโม่ที่ยังตัวอุ่นๆกลับออกมา เลือดโมโม่เริ่มไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ


เสื้อเปื้อนเลือด กางเกงเปื้อนเลือด มือเปื้อนเลือด อุ้มโมโม่เดินออกมา แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่มันจะเกิดจริงๆ


อยากจะให้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้เรื่องทั้งหมดเป็นแค่ฝัน แต่เมื่อถึงร้าน ก็ต้องทำใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน


อุ้มโมโม่มาให้แม่ที่รอในร้านดูเป็นครั้งสุดท้าย แม่ร้องให้ไปพูดกับโมโม่ไป ลูบหัวมันบอกให้ไปดีเถอะ


ซักพัก ต้าร์กับพ่อก็เดินไปหาที่ฝังโมโม่ ได้ทำเลเป็นใต้ต้นมะยม พลัดกันขุดกับพ่อสองคน


และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะได้ทำเลยในชีวิต ได้แต่คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่น่าเกิดขึ้นเลย


หอมแก้มโมโม่คร้งสุดท้ายก่อนอุ้มลงหลุม หลังจากวันนี้คงไม่ได้อาบน้ำโมโม่ แปรงขนโมโม่


นอนหลับบนเตียงเดียวกัน ตื่นสายพร้อมๆกัน พาไปเดินเล่นที่กว๊านพะเยา


ทุกเย็นเมื่อถึงเวลา 5 โมง โมโฒ่จะมองหน้าแล้วเห่าห้วนๆ พร้อมกระดิกหางเป็นสัญญาณเตือนว่า


ถึงเวลาต้องพามันไปเดินเล่นแล้ว และเมื่อเราลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวด้วย


ช่วงเวลานี้ก็ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่โมโม่ดีใจที่สุด แววตาที่เป็นประกาย กระโดดโลดเต้น กระดิกหาง


.......และวันนี้...โมโม่ก็ได้ออกไปเดินเล่นตามเคย


เพียงแต่ว่า ครั้งนี้ โมโม่ไม่ได้กลับมากินข้าว ไม่ได้กลับมาอาบน้ำ ไม่ได้กลับมานอนดูทีวีด้วยกัน


ต่อไปนี้ ตอนเช้า จะไม่มีใครมาเคาะห้องเพื่อขอนอนด้วย จะไม่มีใครขูดประตูกลางดึกเพื่อจะออกไปฉี่


และ...เมื่อเรากลับมาจากการเดินทาง เราจะเปิดประตูบ้านออกมาแวพบแต่ความว่างเปล่า


ไม่มีโมโม่ขนสีขาววิ่งกระดิกหางวิ่งพร้อมเห่าไปรอบๆบ้านด้วยความ ดีอก ดีใจ


ในตอนกลางคืน ภาพของโมโม่ที่อยู่ด้วยกันก็ผ่านเข้ามาในหัวตลอด


ว่ากันตามจริง


ในช่วง 9 เก้าปีที่ผ่านมา โมโม่ ได้ทำหน้าที่คลายเหงาให้พ่อกับแม่ผม ได้ดีเสียกว่าลูกๆเสียอีก


ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผมไปอยู่ต่างประเทศเสีย 5 ปี ในช่วงเวลานั้น ต้องขอบคุณโมโม่


โมโม่ ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจ พ่อและแม่ผม ในขณะที่ลูกๆอย่างผมกลับ ออกไปทำงานเพื่อตัวเอง


เมื่อมาคิดดูแล้ว ลูกๆอย่างพวกเราเป็นหนี้บุญคุณโมโม่มากเหลือเกิน


และเมื่อไม่มีโมโม่แล้ว ลูกๆอย่างเราคงต้องช่วยกันทำหน้าที่หล่อเลี้ยงจิตใจพ่อกับแม่


ให้ความอบอุ่นทางจิตใจ อย่างที่โมโม่ได้ทำมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา


แม้ความตายจะไม่เปิดโอกาสให้เราได้กล่าวคำลา แก่โมโม่


ขอให้บทความนี้ได้เป็นบทความสรรญเสริญ และอาลัยอย่างจริงใจ


ด้วยจิตคาราวะ


25 กันยายน 2551


หมายเหตุ. ก่อนหน้าการจากไป ประมาณ 1 เดือน โมโม่คิดว่าตัวเองท้อง(ท้องลม)โมโม่คาบเอาตุ๊กตาฮิปโปมาเลีย มากอด ประหนึ่งว่านั่นคือลูกของมันเอง
ในช่วงนั้นเอง โมโม่ จะเรียกร้องความสนใจจากทุกคน ไม่ยอมนั่งคนเดียว นอนคนเดียว จะร้องเรียกคนมาอยู่ใกล้ๆเสมอ
เป็นอย่างนี้อยู่กว่า ครึ่งเดือน ในช่วงนั้นถือว่าเราได้ใกล้ชิดโมโม่มากทีเดียว เราต้องคอยเอาอกเอาใจเป็นพิเศษเพราะช่วงนั้นโมโม่
ก็มีอาการไอ เนื่องจากปอดอักเสบด้วย เราจึงต้องคอยแอบซ่อนยาแก้ไอไว้ในอาหารทุกๆมื้อ
ในช่วงสาม สี่ ปีหลังมานี้ คนในครอบครัวสามารถพูดคุยกะโมโม่ได้อย่างเข้าใจ โมโม่เองเริ่มชินกะภาษาคนบ้าง
และพวกเราก็เริ่มคุ้นเคยกับภาษาหมาพอสมควร ก็สื่อสารจึงเป็นไปได้ง่าย และมันก็สร้างความใกล้ชิดให้พวกเรา
และก็ทำให้เราต้องเสียใจ ที่จะไม่ได้สัมผัสกับความรักที่บริสุทธิ์ ที่โมโม่มอบให้แก่เราทุกคนอีกแล้ว










๔ กันยายน ๒๕๕๑

ขอสันติภาพจงมีสู่โลก

สันติภาพเอ๋ย มึงอยู่เสียที่ไหน?
ตอนนี้ คนไทยหายใจเป็นควันขาว
อายุพวกเรา ท่าจะไม่ยาว
เพราะต้องก้าวเลือกข้าง เหลืองหรือแดง
จะลูกจีนหรือลาวถ้ารักชาติ
อย่าอาฆาตแบ่งเหลือง-แดงจะได้ไหม
ทั้งเหลืองแดง แม่งมันก็ มีหัวใจ
พวกจัญไร เท่านั้น ฟาดกันเองฯ
(ดนตรีขึ้น)
จะฝ่ายไหนตายห่า อย่าไปสน
เกิดเป็นคนกู้ชาติรักศักดิ์ศรี
ตัดน้ำไฟนั้นแท้เป็นของดี
ประชาชีต่างสุขโขจุดเทียนชัยฯ
ยึดไปเถิด ยึดไป ไอ้ทำเนียบ
เผาให้เรียบเลยเถิดจะเกิดผล
ถ้าให้ดี จี้กงศุล อังกฤษ มาอีกคน
จับเทียนลน ขู่ฆ่า แลกพจมานฯ
ก็รู้อยู่ไอ้ ห.หมักทักษิณ มันบัดซบ
แต่มันคง จะไม่จบ ถ้าเราทำ (บัดซบกว่า)
สงครามเลือด ครั้งสุดท้าย อาจได้ชัย
ท่ามกลางความ - บรรลัย ของประชาฯ
หัวชนฝา ท้าตีต่อย ถ่อย อริยะ
สร้างภาระแก่ผู้คนให้เลือกข้าง
ไม่เห็นด้วย ไม่เลือกฝั่ง กลายเป็นมาร
ตบกบาลว่าขี้ขลาด ว่าจัญไรฯ
สงครามบ้า บ้านพ่อ มึงศักดิ์สิทธิ์
กี่ชีวิต มึงชุบคืน จะได้ไหม
อย่าช่วยกัน หอกหัก รักชาติ แบบจัญไร
ธรรมาธิปไตย คือ สันติ - ประชาธรรมฯ
กลอนโดย นอร์บูลิงการ์ ณ.คลองเปรม


พลังของการรักชาติด้วยความแค้น ความเกลียดชัง

ถือเป็นพลังด้านลบ

ถึงแม้สิ่งที่ท่านเชื่อเป็นอุดมการณ์ที่ดีเลิศ

แต่การที่ต้องใช้พลังความโกรธ เกลียด ขับเคลื่อนอุดมการณ์อันสูงส่ง

ที่สุดแล้วมันส่งผลร้ายแก่เราเอง

เรารักชาติ แต่ทำไม่เราต้องเกลียดคนเสื้อแดง หรือเสื้อเหลือง

เรารักชาติ แต่ทำไมต้องดูถูกคนเขมร พม่า ที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนเรา

ลองซักวันที่เราจะไม่เหลือง ไม่แดง ไม่น้ำเงิน ไม่รักทักษิณ ไม่รักสนธิ

แก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วมด้วยกัน

ไม่ใช่ทำตามคน 5 หรือ 10 คนบอก

โอ้ย..กูต้องดูทีวีมากไปแน่ๆ