“สีแท่งกล่องหนึ่งในแสงทะเล”
พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม 160 หน้า
เขตแดนแห่งแรกของมนุษย์คือชายฝั่ง จากนั้นท้องทะเลจะคอยเล่าเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงบนฝั่งหนึ่งๆ เป็นภาษาคลื่นด้วยน้ำเสียงเรียบสงบและคลุ้มคลั่งในบางครั้ง ในท้องทะเลมียิปซีที่แล่นเรือสัญจรท่องไปบนผืนคลื่น ดำน้ำจับปลาด้วยมือเปล่า มีภาษาและพิธีศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง มีเรือเสมือนบ้าน มีลมหายใจของชีวิตจากคลอดจนกระทั่งตายอยู่บนเรือ มีช่วงฤดูมรสุมที่พี่น้องญาติมิตรจะกลับมาพบกัน หมู่เกาะต่างๆ มีชื่อเรียกเป็นภาษาของพวกเขาแต่มิใช่เพื่อยึดครอง ด้วยความเชื่อ ‘ไม่มีเจ้าของในธรรมชาติ’ และพวกเขามีความรักสงบตลอดการเดินทางของชีวิต วิถีชนเผ่าแห่งฝั่งทะเลอันดามัน มอแกน มอแกลน และอุรักลาโว้ย นับถือวิญญาณมนุษย์ไม่บูชาพระเจ้า กอปรพิธีกรรมเพื่อบรรพบุรุษ พวกเขายังนับถือวิญญาณลึกลับที่สถิตในท้องทะเลด้วยเป็นความเชื่อและความเคารพอ่อนน้อมอันลึ้งซึ้งต่อธรรมชาติเพราะการเดินทางในทะเลเวิ้งว้างชีวิตและความตายเป็นของคู่กัน มันคือความจริงซึ่งเป็นมากกว่าคำพูด มากกว่าการตระหนักรู้เหนือทุกสิ่ง เมื่อพวกเขาได้แล่นเรือของตนไปถึงเส้นขอบฟ้า ณ ที่ซึ่งเหล่ายิปซีทะเลค้นพบว่าพรมแดนแห่งแรกของชีวิตคือความตาย พี. อิวานอฟ (P. Ivanof) นักชาติพันธุ์วิทยา เขียนไว้เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองว่า “มอแกนทำให้คุณค้นพบชีวิตที่ปราศจากหน้ากาก ไร้การเสแสร้ง ไร้แรงกดดันจากเวลาเงินทองและทรัพย์สมบัติ ชีวิตและความตายอยู่คู่กัน มีชีวิตที่เข้มข้นและเต็มเปี่ยม ชีวิตของชนเผ่าเร่ร่อนที่จริงแล้วร่ำรวยและงดงาม”
ในบทความ ชนเผ่าเร่ร่อนบนโค้งมหาสมุทร ของอัคนี มูลเมฆ ยิปซีทะเลในโลกสมัยใหม่ คือชื่อบทสุดท้ายซึ่งเขาสรุปลงท้ายอย่างตัดเยื่อขาดใยสายโยงในอดีต ว่า “ปัจจุบัน ความเจริญทางด้านวัตถุและการคมนาคมสื่อสารของสังคมยุคใหม่บีบให้โลกแคบลงทุกที แม้จะหลีกหนีไปไกลถึงขอบฟ้า ก็ไม่มีแหล่งอาศัยที่สงบและอิสระให้ชาวมอแกนอีกแล้ว” สำหรับถ้อยคำแห่งการปลุกให้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ายุคสมัย จะต้องกล่าวอะไรเกินไปกว่านี้ เมื่อน่านน้ำหรือระยะทางของเขตทางทะเลได้เปลี่ยนเรือชีวิตของพวกเขา
น้ำทะเลขึ้นและลง ผ่านคืนวันมากี่ครั้งกี่หน นานเท่าใดแล้ว คลื่นยักษ์จากบนฝั่งถั่งโถมไม่เคยหยุด ด้วยแรงกำลังมหาศาลในกระแสเชี่ยวกราดของระบบทุนและบริโภคนิยม ซึ่งหมายถึงการจับจ่ายอย่างสิ้นเปลืองไปกับข้าวของต่างๆ ที่ไล่ตามยุคสมัย ทั้งที่ไม่ได้จำเป็นในวิถีชีวิต การจะตระหนักรู้เท่าทันกระแสคลื่นที่มองไม่เห็นนี้คือการเริ่มมองย้อนกลับไปถึงความสุขแท้จริงของวิถีชีวิตดั้งเดิม
หนังสือ สีแท่งในกล่อนหนึ่งในแสงทะเล พยายามจะนับจากมากไปหาน้อย เริ่มจากไกลมาใกล้ พยายามอย่างยิ่งที่จะเล่าย้อนจากอนาคตไปสู่อดีต เก็บภาพวาดและเรียงเรียงถ้อยคำที่สะท้อนจากคนรุ่นลูกส่งถึงพ่อแม่ของพวกเขา เพื่อบางที, บนชายฝั่งแห่งหนึ่งของกลุ่มชนผู้หยุดเร่ร่อน ณ ที่ซึ่งพวกเขาตั้งรกรากอยู่อาศัยจะเป็นชุมชนแห่งความสงบสุข เป็นต้นแบบการเรียนรู้อันดีงามของมนุษย์ผู้ซึ่งเคารพพึ่งพิงในธรรมชาติ ดำรงชีพดั่งปราชญ์ชาวประมงพื้นเมืองผู้มีสายเลือดผูกพันกับทะเลมายาวนานนับจากครั้งบรรพกาล เช้าวันนี้, เนื้อหาในส่วนคำนำได้พิมพ์เรียบเรียงเสร็จลงด้วยดีพร้อมแสงแรกของพระอาทิตย์ที่ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นลำแสงเดียวกับที่สะท้อนพร่างพรายบนผืนคลื่นทั่วท้องทะเลและเป็นแสงยามเช้าซึ่งเปี่ยมด้วยความหวังที่จะนำสีแท่งกล่องนี้มาวางไว้บนฝั่งซึ่งผู้คนจะมองเห็นกันและกันมากยิ่งขึ้น
คำนำ จากหนังสือ “สีแท่งกล่องหนึ่งในแสงทะเล”
อุเทน มหามิตร พฤศจิกายน 2550
รายได้ทั้งหมดจากการขายหนังสือนำเข้า กองทุนศิลปะของเด็กๆ ฝั่งอันดามัน
*** สั่งซื้อโดยตรงที่ร้านนอร์บูลิงการ์ (ราคาลดพิเศษ 200)
๒๓ มกราคม ๒๕๕๑
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น